วันเสาร์ที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2551

Mini car




ประวัติ Mini ฉบับย่อ



1956 อียิปต์เข้ายึดคลองสุเอซส่งผลให้เกิดวิกฤติการน้ำมันในอังกฤษยอดขายรถตกและมีการแบ่งปันน้ำมัน BMC หรือ British Motor Corporation ว่าจ้าง เซอร์อเล็ก อิสซิโกนิส ผู้เคยออกแบบมินิไมเนอร์ กลับเข้าทำงานอีกครั้ง1957 อิสซิโกนิสวิศวกรวัย 51 ปีแสดงให้เซอร์เลียวนาร์ดลอร์ดเห็นว่าเขารู้จักวิธีที่จะออกแบบรถอย่างที่โลกต้องการแต่จะทำ ก็ต่อเมื่อให้อิสระแก่เขาอย่างเต็มที่ ลอร์ดตกลงอิสซิโกนิสจึงเริ่มพัฒนาต้นแบบ ADO 15

1958 มินิเริ่มเป็นรูปเป็นร่างตามความคิดของอิสซิโกนิสซึ่งเป็นการกระโดดก้าวผ่านจินตนาการทางด้านวิศวกรรมรถยนต์ในยุคนั้น เช่น การวางชุดเกียร์ไว้ใต้เครื่องยนต์ เครื่องยนต์วางขวางขับเคลื่อนล้อหน้า กระทะล้อขอบ 10 นิ้ว และระบบกันสะเทือน แบบเต้ายางเป็นต้น

1959 มินิเปิดตัวในเดือนสิงหาคม โดยติดตราทั้ง ออสตินมินิ และ มอริสมินิ ไมเนอร์ เซเว่น ปฏิกิริยาจากสาธารณชนค่อนข้างหลากหลาย เพราะเมื่อเทียบกับรถที่ออกตัวไล่ๆกันอย่าง ไทรอัมพ์ เฮรัลด์ และฟอร์ด แองเกลีย 105E แล้วมินิค่อนข้าง จะเสียเปรียบ ในด้านการตกแต่ง อย่างไรก็ตาม ขนาดความ ยาว แค่ 10 ฟุตและที่นั่ง 4 ที่ โดยเฉพาะราคาเพียง 496 ปอนด์ ซึ่งนับว่าถูกมาก เมื่อเทียบกับ 2คัน ดังกล่าวข้างต้นก็ทำให้เกิดข้อเปรียบเทียบอย่างมากอิสซิโกนิสสูบบุหรี่จัดและชอบขับรถแบบเงียบๆ รถมินิจึงติดตั้งที่เขี่ยบุหรี่แต่ไม่มีวิทยุประเด็นนี้น่าสงสัยว่าเป็นเพราะอิสซิโกนิสไม่ชอบฟังวิทยุหรือเสียง เครื่องยนต์ดัง เสียจนไม่สามารถฟังเสียงวิทยุได้ ?

1960 มินิขายได้มากกว่า 116,000 คัน รถรุ่นใหม่ๆยังถูกจับตามองโดยสาธารณชนที่มีความอยากรู้ว่าจะออกมาในรูปแบบใด บริษัทฟอร์ด ซื้อรถมินิและรื้อออกเป็นชิ้นๆ คำนวณต้นทุนการผลิตและได้ข้อสรุปซึ่งใกล้เคียงความจริงว่า BMC ขาดทุนในการผลิตมินิ1961 ไรเลย์ เอลฟ์ และ โวลส์เลย์ ฮอร์เนท ทำสิ่งที่เหมือนกันคือ ทำมินิให้กลายเป็นรถหรูขนาดเล็ก ขยายที่เก็บของ ตกแต่งอย่างหรูหรา ในขณะที่นักสร้างรถสูตรหนึ่งอย่าง จอห์น คูเปอร์พบว่ามินิเป็นรถที่มีการขับขี่และยึดเกาะถนนที่ดีมาก คูเปอร์เสนอข้อตกลงกับ BMC เพื่อผลิต มินิคูเปอร์จำนวน1,000 คัน เพื่อให้สามารถ ผ่านการคัดเลือกและเข้าแข่งขันในรุ่นโปรดักชั่นได้ รถรุ่นนั้นออกขาย ด้วยขนาดเครื่องยนต์ 997 cc. 55 แรงม้าพร้อมดิสก์เบรค1962 รถมินิคูเปอร์ ซึ่งขับโดย แพ๊ต น้องสาว สเตอลิงค์ มอสส์ ชนะการแข่งขัน ฮอลแลนด์ ทิวลิป แรลลี่ และใน การแข่งขันมอนติคาร์โล แรลลี่ ราโน อัลโตเนน์ ขับรถมินิคูเปอร์อยู่ในตำแหน่งที่สองก่อนที่จะพลิกคว่ำ และ ต้องออกจากการแข่งขันก่อนจบรายการ

1963 แพดดี้ ฮอพเคิร์ค พารถมินิคูเปอร์ เอส 1071 cc. 70 แรงม้าเข้าเส้นชัยในการแข่งขัน ตูร์ เดอ ฟรองซ์ ปีเตอร์ เซลเลอร์ สารวัตร พิงค์แพนเทอร์ตกแต่งมินิของเขาด้วยเครื่องหวาย มินิกลาย เป็นแฟชั่นสำหรับดารา หรือ แม้แต่นักร้องอย่างริงโก สตาร์1964 มินิมอคออกสู่ท้องถนนมันถูกสร้างเพื่อใช้งานสนามในสงครามซึ่งสามารถทิ้งลงจากเครื่องบินพร้อมร่มชูชีพได้อย่างไรก็ตามถึงแม้จะมีราคาถูกเปิดโล่งและนั่งได้ถึง 4 คน แต่กองทัพบกอังกฤษก็ปฏิเสธที่จะใช้มันในสนามรบ เนื่องจากระยะจากพื้น ถึงใต้ท้องรถสูงเพียง 6 นิ้ว และขับเคลื่อนแค่ 2 ล้อ ขณะเดียวกันมินิคูเปอร์เอส ก็ประสบชัยชนะในการแข่งขัน มอนติ คาร์โล แรลลี่ มินิที่วาง ตลาดมีระบบ กันสะเทือนแบบ ไฮโดรลาสติค ซึ่งออกแบบโดยผู้ออกแบบเต้ายาง อเล็กซ์ โมลตัน1965 มินิคันที่ 1,000,000!!!

1966 ทิโมมาคินเอนและพอลอีสเตอร์ถูกปรับแพ้ในการแข่งขันมอนติคาร์โลแรลลี่ชัยชนะซึ่งควรจะเป็นชัยชนะครั้งที่สามติดต่อกันในการแข่งขันมอนติคาร์โลแรลลี่หมดไปเนื่องข้อกล่าวหาว่าติดตั้งไฟหน้าผิดระเบียบ การแข่งถึงแม้ว่ามันจะถูกพิสูจน์ว่าข้อกล่าวหาไม่เป็นความจริงแต่คำตัดสินของกรรมการไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้

1967 วงเลี้ยวของมินิถูกลดลงจาก 32 ฟุต เหลือเพียง 28 ฟุต ในรุ่น Mk II1968 9X รถซูเปอร์มินิหลังคาแฮทช์แบค ซึ่งอิสซิโกนิส ใช้เวลาหลายปีออกแบบถูกสั่งระงับ จอห์น โรดส์ขับคูเปอร์เอสเข้าสู่เส้นชัยในการแข่งขันบริติชทัวริ่งคาร์แชมเปี้ยนชิพระบบกันสะเทือนแบบไฮโดรลาสติคถูกเปลี่ยนกลับเป็นเต้ายางเหมือนเดิมเนื่องจากราคาถูกกว่า และไฮโดรลาสติค ถูกสั่งระงับการใช้ในเยอรมันนี

1969 คำว่าออสตินและมอริสที่นำหน้าชื่อมินิถูกยกเลิกเนื่องจากมินิกลายเป็นคำนิยามในการเรียกขานตัวมันเอง แทนยี่ห้อเพื่อเฉลิมฉลองมีการติดตั้งหน้าต่างแบบกระจกไขแทนที่กระจกเลื่อนการติดตั้งในครั้งนี้รวมถีงรถที่ผลิตในอิตาลีอาฟริกาใต้และออสเตรเลียด้วยรถคลับแมนซึ่งมีหน้าเหลี่ยมและแผงหน้าปัทม์แบบใหม่วางตลาดพร้อมรุ่น1275 GT หน้าเหลี่ยมสำหรับการขับขี่แบบสปอร์ตอเล็คอิสซิโกนิสได้รับการแต่งตั้งเป็นอัศวินชั้นเซอร์

1971 บริติช เลย์แลนด์ ตัดสินใจที่จะไม่จ่ายค่ารอแยลตี้ให้กับ จอห์น คูเปอร์ สำหรับรถมินิคูเปอร์ และยกเลิกการผลิตมินิคูเปอร์ ถึงตอนนี้รถมินิถูกผลิตออกมาปีละ 318,475 คัน

1976 ในอิตาลี อินโนเซนติ ผลิตรถแฮทช์แบคโดยใช้ฟลอแพลนของมินิ รถมินิ 1000 ลิมิต เอดิชั่น ถูกวางโชว์ในโชว์รูม

1979 ไม่เชื่อ อย่าลบหลู่ รถมินิชนะการแข่งขัน บริติช ซาลูน คาร์ แชมเปี้ยนชิพ


1980 ออสตินมินิ เมโทร วางตลาด โดยใช้มินิซับเฟรม ภายใต้รูปลักษณ์ของตัวถังแฮทช์แบค หรืออีก 18 ปี ถัดมาในชื่อ โรเวอร์ 100 ไม่มีอะไรเหมือนมินิ และถ้ายังนึกภาพไม่ออก ลองนึกถึงโฟล์คกอล์ฟรุ่นแรกๆ หรือ เปอร์โยซีรี่ 2

1984 รถมินิทุกคันที่ออกวางจำหน่ายมีกะทะล้อขนาด 12 นิ้ว และดิสก์เบรคเป็นอุปกรณ์มาตรฐาน

1985 โรเวอร์ เข้าควบคุมการจำหน่าย รถมินิในญี่ปุ่น ซึ่งมียอดขายที่น่าอัศจรรย์

1986 โนเอล เอ็ดมันส์ ขับรถมินิคันที่ 5,000,000 ออกจากสายการผลิตที่โรงงานลองบริดจ์

1988 เซอร์อเล็กซ์ อิสซิโกนิส เสียชีวิตเมื่ออายุ 81 ปี

1990 โรเวอร์ เปิดผ้าคลุมมินิคูเปอร์รุ่นใหม่ จำนวนจำกัด พร้อมทั้งลายเซ็น จอห์น คูเปอร์ และฝากระโปรงคาดขาว ซึ่งกลายเป็นรถขายดีในเวลาต่อมาอู่คูเปอร์ผลิตมินิสเปเชียลออกขายเองด้วยเช่นกัน

1992 มีการติดตั้งเครื่องกรองมลภาวะท่อไอเสีย หรือแคทตาลิติค คอนเวอร์เตอร์ ในรถมินิ ซึ่งเหลือเพียงเครื่องยนต์ขนาด 1275 cc ให้เลือกเพียงขนาดเดียว ( แล้วจะเลือกอะไร ? )


1993 มินิเปิดประทุน (คาบริโอเลท์) ซึ่งพัฒนาโดยสำนักออกแบบคาร์มานน์ในเยอรมันนี วางตลาดในราคา 12,000 ปอนด์


1995 มินิได้รับประชามติให้เป็นรถแห่งศตวรรษจากแบบสอบถามเนื่องในวาระครบรอบ 100 ปี ของนิตยสารออโตคาร์


1997 การปรับปรุงครั้งสุดท้ายของมินิ เครื่องยนต์ขนาด 1.3 ลิตร หัวฉีด หรือในแบบของคูเปอร์ โดยมีราคาเริ่มต้นที่ 9,000 ปอนด์ ถุงลมนิรภัยเป็นอุปกรณ์มาตรฐาน

1999 โรเวอร์แจ้งว่าจะระงับการผลิตมินิประมาณปี 2000 แต่ตัวถังจะยังมีการผลิตอยู่ต่อไปเพื่อใช้เป็นอะไหล่ ตลอดระยะเวลา 40 ปีที่ผ่านมารถมินิถูกผลิตขึ้นประมาณ 5.4 ล้านคันส่งผลให้มันเป็นรถอังกฤษคันเดียวที่เป็นรถขายดีตลอดกาล

2000 ทุกอย่างใหม่หมด ยุคของ BMW มินิ ซึ่งถึงแม้จะถูกออกแบบโดยวิศวกรของโรเวอร์ ซึ่งถูกซื้อโดย BMW ภายใต้รูปลักษณ์ใหม่กับเครื่องยนต์
BMW มินิยังคงอยู่ ???