วันอาทิตย์ที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2551

โอลิมปิกสมัยโบราณ



โอลิมปิกสมัยโบราณก่อนหน้าคริสตกาลกว่า 1,000 ปี การแข่งขันกีฬาได้ดำเนินการกันบนยอดเขา “โอลิมปัส” ในประเทศกรีซ โดยนักกีฬาจะต้องเปลือยกายเข้าแข่งขัน เพื่อประกวดความสมส่วนของร่างกาย และยังมีการต่อสู้บางประเภท เช่น กีฬาจำพวกมวยปล้ำ เพื่อพิสูจน์ความแข็งแรง ผู้ชมมีแต่เพียงผู้ชาย ห้ามผู้หญิงเข้าชม ดังนั้นผู้ชมจะต้องปีนขึ้นไปบนยอดเขา ครั้นต่อมามีผู้นิยมมากขึ้น สถานที่บนยอดเขาจึงคับแคบเกินไป ไม่เพียงพอที่จุทั้งผู้เล่นและผู้ชมได้ทั้งหมด ดังนั้น ในปีที่ 776 ก่อนคริสตกาล ชาวกรีกได้ย้ายที่แข่งขันลงมาที่เชิงเขาโอลิมปัส และได้ปรับปรุงการแข่งขันเสียใหม่ให้ดีขึ้น โดยให้ผู้เข้าแข่งขันสวมกางเกงพิธีการแข่งขันจัดอย่างเป็นระเบียบเป็นทางการ มีจักรพรรดิมาเป็นองค์ประธาน อนุญาตให้สตรีเข้าชมการแข่งขันได้ แต่ไม่อนุญาตให้เข้าแข่งขัน ประเภทกรีฑาที่แข่งขันที่ถือเป็นทางการในครั้งแรกนี้ มี 5 ประเภท คือ วิ่ง, กระโดด, มวยปล้ำ, พุ่งแหลน และขว้างจักร ผู้เข้าแข่งขันคนหนึ่ง ๆ จะต้องเล่นทั้ง 5 ประเภท โดยผู้ชนะจะได้รับรางวัล คือ มงกุฎที่ทำด้วยกิ่งไม้มะกอกซึ่งขึ้นอยู่บนยอดเขาโอลิมปัสนั่นเอง และได้รับเกียรติเดินทางท่องเที่ยวไปทุกรัฐ ในฐานะตัวแทนของพระเจ้าการแข่งขันได้จัดขึ้น ณ เชิงเขาโอลิมปัส แคว้นอีลิส ที่เดิมเป็นประจำทุก ๆ สี่ปี และถือปฏิบัติติดต่อกันมาโดยไม่เว้น เมื่อถึงกำหนดการแข่งขัน ทุกรัฐจะต้องให้เกียรติ หากว่าขณะนั้นกำลังทำสงครามกันอยู่ จะต้องหยุดพักรบ และมาดูนักกีฬาของตนแข่งขัน หลังจากเสร็จจากการแข่งขันแล้ว จึงค่อยกลับไปทำสงครามกันใหม่ ประเภทของการแข่งขันได้เปลี่ยนแปลงไปบ้างในระยะต่อ ๆ มา โดยมีการพิจารณาและลดประเภทของกรีฑาเรื่อยมา อย่างไรก็ดีในระยะแรก ๆ นี้กรีฑา 5 ประเภทดังกล่าวที่จัดแข่งขันกันในครั้งแรกก็ยังได้รับเกียรติให้คงไว้ ซึ่งเรียกกันว่า เพ็นตาธรอน หรือ ปัญจกรีฑา ทั้งนี้ก็เพื่อเป็นการรำลึกถึงกำเนิดของกรีฑา ในปัจจุบันนี้ก็ยังมีการแข่งขันกันอยู่ แต่ประเภทของปัญจกรีฑาได้เปลี่ยนไปตามเวลา

การแข่งขันได้ดำเนินติดต่อกันมานับเป็นเวลาถึง 1,200 ปี จนมาในปี พ.ศ. 936 (ค.ศ. 393) จักรพรรดิธีโอดอซิดุชแห่งโรมันได้ทรงประกาศให้ยกเลิกการแข่งขันนั้นเสีย เพราะเกิดมีการว่าจ้างกันเข้ามาเล่นเพื่อหวังรางวัล และผู้เล่นปรารถนาสินจ้างมากกว่าการเล่นเพื่อสุขภาพของตน รวมทั้งมีการพนันขันต่อ อันเป็นทางวิบัติซึ่งผิดไปจากวัตถุประสงค์เดิม คือ ผู้เข้าแข่งขันทั้งหลายต่างก็อยากได้ช่อลอเรลซึ่งเป็นรางวัลของผู้ชนะ ด้วยเหตุนี้เอง พระองค์จึงสั่งให้ล้มเลิกการแข่งขันนี้เสียตลอดระยะเวลาที่มีการแข่งขันนั้น ได้จัดขึ้น ณ บริเวณที่แห่งเดียว คือ เชิงเขาโอลิมปัส แคว้นอีลิส จึงเรียกการแข่งขันตามชื่อของสถานที่ว่า “การแข่งขันกีฬาโอลิมปิก”

วันเสาร์ที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2551

Mini car




ประวัติ Mini ฉบับย่อ



1956 อียิปต์เข้ายึดคลองสุเอซส่งผลให้เกิดวิกฤติการน้ำมันในอังกฤษยอดขายรถตกและมีการแบ่งปันน้ำมัน BMC หรือ British Motor Corporation ว่าจ้าง เซอร์อเล็ก อิสซิโกนิส ผู้เคยออกแบบมินิไมเนอร์ กลับเข้าทำงานอีกครั้ง1957 อิสซิโกนิสวิศวกรวัย 51 ปีแสดงให้เซอร์เลียวนาร์ดลอร์ดเห็นว่าเขารู้จักวิธีที่จะออกแบบรถอย่างที่โลกต้องการแต่จะทำ ก็ต่อเมื่อให้อิสระแก่เขาอย่างเต็มที่ ลอร์ดตกลงอิสซิโกนิสจึงเริ่มพัฒนาต้นแบบ ADO 15

1958 มินิเริ่มเป็นรูปเป็นร่างตามความคิดของอิสซิโกนิสซึ่งเป็นการกระโดดก้าวผ่านจินตนาการทางด้านวิศวกรรมรถยนต์ในยุคนั้น เช่น การวางชุดเกียร์ไว้ใต้เครื่องยนต์ เครื่องยนต์วางขวางขับเคลื่อนล้อหน้า กระทะล้อขอบ 10 นิ้ว และระบบกันสะเทือน แบบเต้ายางเป็นต้น

1959 มินิเปิดตัวในเดือนสิงหาคม โดยติดตราทั้ง ออสตินมินิ และ มอริสมินิ ไมเนอร์ เซเว่น ปฏิกิริยาจากสาธารณชนค่อนข้างหลากหลาย เพราะเมื่อเทียบกับรถที่ออกตัวไล่ๆกันอย่าง ไทรอัมพ์ เฮรัลด์ และฟอร์ด แองเกลีย 105E แล้วมินิค่อนข้าง จะเสียเปรียบ ในด้านการตกแต่ง อย่างไรก็ตาม ขนาดความ ยาว แค่ 10 ฟุตและที่นั่ง 4 ที่ โดยเฉพาะราคาเพียง 496 ปอนด์ ซึ่งนับว่าถูกมาก เมื่อเทียบกับ 2คัน ดังกล่าวข้างต้นก็ทำให้เกิดข้อเปรียบเทียบอย่างมากอิสซิโกนิสสูบบุหรี่จัดและชอบขับรถแบบเงียบๆ รถมินิจึงติดตั้งที่เขี่ยบุหรี่แต่ไม่มีวิทยุประเด็นนี้น่าสงสัยว่าเป็นเพราะอิสซิโกนิสไม่ชอบฟังวิทยุหรือเสียง เครื่องยนต์ดัง เสียจนไม่สามารถฟังเสียงวิทยุได้ ?

1960 มินิขายได้มากกว่า 116,000 คัน รถรุ่นใหม่ๆยังถูกจับตามองโดยสาธารณชนที่มีความอยากรู้ว่าจะออกมาในรูปแบบใด บริษัทฟอร์ด ซื้อรถมินิและรื้อออกเป็นชิ้นๆ คำนวณต้นทุนการผลิตและได้ข้อสรุปซึ่งใกล้เคียงความจริงว่า BMC ขาดทุนในการผลิตมินิ1961 ไรเลย์ เอลฟ์ และ โวลส์เลย์ ฮอร์เนท ทำสิ่งที่เหมือนกันคือ ทำมินิให้กลายเป็นรถหรูขนาดเล็ก ขยายที่เก็บของ ตกแต่งอย่างหรูหรา ในขณะที่นักสร้างรถสูตรหนึ่งอย่าง จอห์น คูเปอร์พบว่ามินิเป็นรถที่มีการขับขี่และยึดเกาะถนนที่ดีมาก คูเปอร์เสนอข้อตกลงกับ BMC เพื่อผลิต มินิคูเปอร์จำนวน1,000 คัน เพื่อให้สามารถ ผ่านการคัดเลือกและเข้าแข่งขันในรุ่นโปรดักชั่นได้ รถรุ่นนั้นออกขาย ด้วยขนาดเครื่องยนต์ 997 cc. 55 แรงม้าพร้อมดิสก์เบรค1962 รถมินิคูเปอร์ ซึ่งขับโดย แพ๊ต น้องสาว สเตอลิงค์ มอสส์ ชนะการแข่งขัน ฮอลแลนด์ ทิวลิป แรลลี่ และใน การแข่งขันมอนติคาร์โล แรลลี่ ราโน อัลโตเนน์ ขับรถมินิคูเปอร์อยู่ในตำแหน่งที่สองก่อนที่จะพลิกคว่ำ และ ต้องออกจากการแข่งขันก่อนจบรายการ

1963 แพดดี้ ฮอพเคิร์ค พารถมินิคูเปอร์ เอส 1071 cc. 70 แรงม้าเข้าเส้นชัยในการแข่งขัน ตูร์ เดอ ฟรองซ์ ปีเตอร์ เซลเลอร์ สารวัตร พิงค์แพนเทอร์ตกแต่งมินิของเขาด้วยเครื่องหวาย มินิกลาย เป็นแฟชั่นสำหรับดารา หรือ แม้แต่นักร้องอย่างริงโก สตาร์1964 มินิมอคออกสู่ท้องถนนมันถูกสร้างเพื่อใช้งานสนามในสงครามซึ่งสามารถทิ้งลงจากเครื่องบินพร้อมร่มชูชีพได้อย่างไรก็ตามถึงแม้จะมีราคาถูกเปิดโล่งและนั่งได้ถึง 4 คน แต่กองทัพบกอังกฤษก็ปฏิเสธที่จะใช้มันในสนามรบ เนื่องจากระยะจากพื้น ถึงใต้ท้องรถสูงเพียง 6 นิ้ว และขับเคลื่อนแค่ 2 ล้อ ขณะเดียวกันมินิคูเปอร์เอส ก็ประสบชัยชนะในการแข่งขัน มอนติ คาร์โล แรลลี่ มินิที่วาง ตลาดมีระบบ กันสะเทือนแบบ ไฮโดรลาสติค ซึ่งออกแบบโดยผู้ออกแบบเต้ายาง อเล็กซ์ โมลตัน1965 มินิคันที่ 1,000,000!!!

1966 ทิโมมาคินเอนและพอลอีสเตอร์ถูกปรับแพ้ในการแข่งขันมอนติคาร์โลแรลลี่ชัยชนะซึ่งควรจะเป็นชัยชนะครั้งที่สามติดต่อกันในการแข่งขันมอนติคาร์โลแรลลี่หมดไปเนื่องข้อกล่าวหาว่าติดตั้งไฟหน้าผิดระเบียบ การแข่งถึงแม้ว่ามันจะถูกพิสูจน์ว่าข้อกล่าวหาไม่เป็นความจริงแต่คำตัดสินของกรรมการไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้

1967 วงเลี้ยวของมินิถูกลดลงจาก 32 ฟุต เหลือเพียง 28 ฟุต ในรุ่น Mk II1968 9X รถซูเปอร์มินิหลังคาแฮทช์แบค ซึ่งอิสซิโกนิส ใช้เวลาหลายปีออกแบบถูกสั่งระงับ จอห์น โรดส์ขับคูเปอร์เอสเข้าสู่เส้นชัยในการแข่งขันบริติชทัวริ่งคาร์แชมเปี้ยนชิพระบบกันสะเทือนแบบไฮโดรลาสติคถูกเปลี่ยนกลับเป็นเต้ายางเหมือนเดิมเนื่องจากราคาถูกกว่า และไฮโดรลาสติค ถูกสั่งระงับการใช้ในเยอรมันนี

1969 คำว่าออสตินและมอริสที่นำหน้าชื่อมินิถูกยกเลิกเนื่องจากมินิกลายเป็นคำนิยามในการเรียกขานตัวมันเอง แทนยี่ห้อเพื่อเฉลิมฉลองมีการติดตั้งหน้าต่างแบบกระจกไขแทนที่กระจกเลื่อนการติดตั้งในครั้งนี้รวมถีงรถที่ผลิตในอิตาลีอาฟริกาใต้และออสเตรเลียด้วยรถคลับแมนซึ่งมีหน้าเหลี่ยมและแผงหน้าปัทม์แบบใหม่วางตลาดพร้อมรุ่น1275 GT หน้าเหลี่ยมสำหรับการขับขี่แบบสปอร์ตอเล็คอิสซิโกนิสได้รับการแต่งตั้งเป็นอัศวินชั้นเซอร์

1971 บริติช เลย์แลนด์ ตัดสินใจที่จะไม่จ่ายค่ารอแยลตี้ให้กับ จอห์น คูเปอร์ สำหรับรถมินิคูเปอร์ และยกเลิกการผลิตมินิคูเปอร์ ถึงตอนนี้รถมินิถูกผลิตออกมาปีละ 318,475 คัน

1976 ในอิตาลี อินโนเซนติ ผลิตรถแฮทช์แบคโดยใช้ฟลอแพลนของมินิ รถมินิ 1000 ลิมิต เอดิชั่น ถูกวางโชว์ในโชว์รูม

1979 ไม่เชื่อ อย่าลบหลู่ รถมินิชนะการแข่งขัน บริติช ซาลูน คาร์ แชมเปี้ยนชิพ


1980 ออสตินมินิ เมโทร วางตลาด โดยใช้มินิซับเฟรม ภายใต้รูปลักษณ์ของตัวถังแฮทช์แบค หรืออีก 18 ปี ถัดมาในชื่อ โรเวอร์ 100 ไม่มีอะไรเหมือนมินิ และถ้ายังนึกภาพไม่ออก ลองนึกถึงโฟล์คกอล์ฟรุ่นแรกๆ หรือ เปอร์โยซีรี่ 2

1984 รถมินิทุกคันที่ออกวางจำหน่ายมีกะทะล้อขนาด 12 นิ้ว และดิสก์เบรคเป็นอุปกรณ์มาตรฐาน

1985 โรเวอร์ เข้าควบคุมการจำหน่าย รถมินิในญี่ปุ่น ซึ่งมียอดขายที่น่าอัศจรรย์

1986 โนเอล เอ็ดมันส์ ขับรถมินิคันที่ 5,000,000 ออกจากสายการผลิตที่โรงงานลองบริดจ์

1988 เซอร์อเล็กซ์ อิสซิโกนิส เสียชีวิตเมื่ออายุ 81 ปี

1990 โรเวอร์ เปิดผ้าคลุมมินิคูเปอร์รุ่นใหม่ จำนวนจำกัด พร้อมทั้งลายเซ็น จอห์น คูเปอร์ และฝากระโปรงคาดขาว ซึ่งกลายเป็นรถขายดีในเวลาต่อมาอู่คูเปอร์ผลิตมินิสเปเชียลออกขายเองด้วยเช่นกัน

1992 มีการติดตั้งเครื่องกรองมลภาวะท่อไอเสีย หรือแคทตาลิติค คอนเวอร์เตอร์ ในรถมินิ ซึ่งเหลือเพียงเครื่องยนต์ขนาด 1275 cc ให้เลือกเพียงขนาดเดียว ( แล้วจะเลือกอะไร ? )


1993 มินิเปิดประทุน (คาบริโอเลท์) ซึ่งพัฒนาโดยสำนักออกแบบคาร์มานน์ในเยอรมันนี วางตลาดในราคา 12,000 ปอนด์


1995 มินิได้รับประชามติให้เป็นรถแห่งศตวรรษจากแบบสอบถามเนื่องในวาระครบรอบ 100 ปี ของนิตยสารออโตคาร์


1997 การปรับปรุงครั้งสุดท้ายของมินิ เครื่องยนต์ขนาด 1.3 ลิตร หัวฉีด หรือในแบบของคูเปอร์ โดยมีราคาเริ่มต้นที่ 9,000 ปอนด์ ถุงลมนิรภัยเป็นอุปกรณ์มาตรฐาน

1999 โรเวอร์แจ้งว่าจะระงับการผลิตมินิประมาณปี 2000 แต่ตัวถังจะยังมีการผลิตอยู่ต่อไปเพื่อใช้เป็นอะไหล่ ตลอดระยะเวลา 40 ปีที่ผ่านมารถมินิถูกผลิตขึ้นประมาณ 5.4 ล้านคันส่งผลให้มันเป็นรถอังกฤษคันเดียวที่เป็นรถขายดีตลอดกาล

2000 ทุกอย่างใหม่หมด ยุคของ BMW มินิ ซึ่งถึงแม้จะถูกออกแบบโดยวิศวกรของโรเวอร์ ซึ่งถูกซื้อโดย BMW ภายใต้รูปลักษณ์ใหม่กับเครื่องยนต์
BMW มินิยังคงอยู่ ???

วันเสาร์ที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2551

ตำนานและของขวัญในวันวาเลนไทน์

กำเนิดวันวาเลนไทน์ เทศกาลวาเลนไทน์ เริ่มมีขึ้นตั้งแต่ยุคที่จักรวรรดิโรมันเรืองอำนาจ ในยุคนั้น วันที่ 14 กุมภาพันธ์ของทุกปี ถูกจัดให้เป็นวันหยุด เพื่อเป็นเกียรติแต่เทพเจ้าจูโน่ผู้เป็นจักรพรรดินีแห่งเทพเจ้าโรมัน นอกจากนี้แล้วพระองค์ยังทรงเป็นเทพเจ้าแห่งอิสตรีเพศและการแต่งงาน และในวันถัดมา คือวันที่ 15 กุมภาพันธ์ เป็นวันเริ่มต้นเทศกาลเฉลิมฉลองแห่งลูเพอร์คาร์เลีย การดำเนินชีวิตของหนุ่มสาวจะถูกตัดขาดออกจากกันอย่างสิ้นเชิง อย่างไรก็ตาม มีขนบธรรมเนียมอย่างหนึ่งของชายหนุ่มก็คือ การจับฉลาก ในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ก่อนที่จะเริ่มต้นเทศกาลลูเพอร์คาร์เลีย ชื่อของเด็กสาวจะถูกเขียนลงในเศษกระดาษและใส่ลงในไห ชายหนุ่มแต่ละคนจะจับฉลากเพื่อเลือกคู่ในเทศกาลเฉลิมฉลองนี้ บ่อยครั้งที่หนุ่มสาวต่างถูกใจกัน และแต่งงานกันในเวลาต่อมา


ในรัชสมัยของจักรพรรดิคลอดิอัสที่ 2 แห่งโรม พระองค์ทรงเป็นกษัตริย์ที่มีใจคอดุร้าย และทรงนิยมการทำสงครามนองเลือด ได้ทรงตระหนักว่าเหตุที่ชายหนุ่มส่วนมากไม่ประสงค์จะเข้าร่วมในกองทัพ เนื่องมาจาก ไม่อยากจากคู่รัก และครอบครัวไป จึงทรงมีพระราชโองการสั่งห้ามมิให้มีการจัดพิธีหมั้นและแต่งงานกันในโรมโดยเด็ดขาด ทำให้ประชาชนทุกข์ใจเป็นอย่างยิ่ง ขณะนั้นเอง พระรูปหนึ่งนามว่า เซนต์วาเลนไทน์ซึ่งอาศัยอยู่ในโทรม ได้ร่วมมือกับเซนต์มาริอัส จัดพิธีแต่งงานให้กับชาวคริสต์หลายคู่ และด้วยความปรารถนาดีของท่านนี้เอง จึงทำให้ท่านถูกตัดสินประหารชีวิตโดยเจ้าหน้าที่บ้านเมือง ในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ค.ศ.270 ซึ่งตรงกับเทศกาลลูเพอร์คาร์เลีย ตามประเพณีโบราณพอดี ณ โอกาสนี้เอง กลุ่มคนนอกศาสนาได้รื้อฟื้นประเพณีจับฉลากขึ้นมาใหม่ โดยชายหนุ่มจะเป็นผู้เขียนชื่อหญิงสาวลงไปด้วยตัวเอง ต่อมาพระในนิกายโรมันคาทอลิกจึงเลือกให้วันที่ 14 กุมภาพันธ์ เป็นวันเฉลิมฉลองเทศกาลแห่งความรัก และดูเหมือนว่ายังคงเป็นธรรมเนียม ที่ชายหนุ่มจะเลือกหญิงสาวที่ตนเองพึงใจในวันวาเลนไทน์ สืบต่อกันมาจนถึงทุกวันนี้


วาเลนไทน์ (Valentine) คือวันที่ระลึกถึง นักบุญเซนต์วาเลนไทน์ (Saint Valentine) ผู้เปี่ยมไปด้วยเมตตา ความรัก และความปรารถนาดี ต่อเพื่อนมนุษย์อย่างแท้จริง แต่สุดท้ายเขาต้องจบชีวิตลงด้วยการรับโทษประหารในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 270 หรือเมื่อประมาณ 1,728 ปีล่วงเลยมาแล้ว ซึ่งเป็นยุคสมัยของจักรวรรดิโรมันที่ศาสนาคริสต์ยังไม่เป็นที่ยอมรับ ซํ้าร้ายภายใต้การปกครองของกษัตริย์ "คลอดิอุสที่ 2" ผู้ออกกฎหมายบีบบังคับให้ประชาชนเลิกนับถือ และห้ามให้มีแต่งงานของพวกคริสเตียนเกิดขึ้น แต่ยังคงมีผู้นำคริสเตียนคนหนึ่งชื่อ "วาเลนตินัส" หรือที่ได้รับการยกย่องเป็น เซนต์วาเลนไทน์ ในภายหลัง คอยลักลอบแอบจัดงานแต่งงานให้กับคู่รักคริสเตียนจนถูกจับขังและรับโทษทรมานแสนสาหัสอยู่ในคุกในขณะที่ถูกคุมขังนั้น เขาก็พบรักกับสาวตาบอด ซึ่งเธอเป็นลูกสาวของผู้คุมในคุก ด้วยความรักและคำอธิษฐานของเขา พระเจ้าได้ทรงโปรดให้ตาของสาวคนรักหายเป็นปกติ เมื่อความนี้ล่วงรู้ถึงหูกษัตริย์คลอดิอุสที่ 2 พระองค์จึงสั่งให้ลงโทษ วาเลนตินัส ด้วยการโบยและนำไปประหารชีวิตด้วยการตัดศีรษะ ในคืนสุดท้ายก่อนที่เขาจะถูกนำไปประหารนั้น ได้เขียนจดหมายสั้น ๆ เป็นการอำลาส่งไปให้หญิงคนรักของเขา โดยลงท้ายในจดหมายว่า

"...จากวาเลนไทน์ของเธอ (Love From Your Valentine)"

ต่อมาเมื่อคนทั่วไปทราบเรื่องราวจึงเกิดความประทับใจในความรักของเขา ยึดถือเอาวันที่14 กุมภาพันธ์ ของทุกปีเป็น "วันแห่งความรัก" Saint Valentine's Day หรือ Valentine'sDay และได้นิยมแพร่หลายไปทั่วยุโรป อเมริกา รวมทั้งในทวีปเอเชียด้วย



ของขวัญวันวาเลนไทน์ ของขวัญที่นิยม ของขวัญแทนใจวันแห่งความรัก

ดอกไม้ ให้ความหมายของการบอกรักได้ดีที่สุด ที่ฮิตสุดเห็นจะเป็น
- กุหลาบแดง หมายถึง ความรักและความปรารถนา เป็นดอกไม้ของกามเทพ เป็นสิ่งนำโชคมาสู่ผู้หญิงที่ได้รับ
- กุหลาบขาว หมายถึง ความมีเสน่ห์ ความบริสุทธิ์ ความเงียบสงบ และนำโชคมาสู่ผู้หญิงที่ได้รับเช่นเดียวกับดอกกุหลาบแดง
- กุหลาบสีชมพู หมายถึง ความรักที่มีความสุขอย่างสมบูรณ์ที่สุด- กุหลาบสีเหลืองหรือสีส้ม หมายถึง ความรักร้อนแรงและยาวนาน ไม่จืดจาง หวานชื่น และมีความสุข
- กุหลาบตูม หมายถึง ความรักและความเยาว์วัย
- กุหลาบบาน หมายถึง ความรักที่กำลังเบ่งบาน ความอ่อนหวาน สดชื่น
สําหรับคนที่อยากได้อะไรแตกต่างยังมีดอกอื่นๆ อาทิ
- ดอกคาร์เนชั่นสีแดง หมายถึง รักอย่างสุดซึ้ง
- ดอกลิลลี่สีขาว หมายถึง ความโรแมนติก อ่อนหวานระหว่างคุณและคนรัก
- ดอกทิวลิปสีแแดง หมายถึง ความรักที่จะร่วมฟันฝ่าไปด้วยกัน
- ดอกไวโอเล็ต ที่แทนความหมายของการให้รักตอบแทน

ช็อกโกแลต
นักจิตวิทยาหลายคนเชื่อว่า ช็อกโกแลตเป็นตัวช่วยเสริมอารมณ์รัก และรสชาติความหวานก็เป็นสิ่งที่แทนความรู้สึกวันแห่งความรักได้อย่างดี และยังมีการพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ว่าในช็อกโกแลตมีสารช่วยกระตุ้นสมองโดยออกฤทธิ์คล้าย แอมเฟตามีน เป็นตัวเบิกทางความรู้สึกลึกๆแห่งรักได้ดี

การ์ด
อันนี้เป็นของจําเป็นควบคู่ไปกับดอกไม้ และช็อกโกแลต เลือกตามแบบที่ชอบ เขียนความในใจตามแบบที่อยากให้คนที่ได้รับอ่านแล้วเข้าใจในทันที แถมหาซื้อไม่ยากด้วย

ตุ๊กตา
เป็นสิ่งที่ให้กันได้ทุกเทศกาลอยู่แล้ว แต่พิเศษสําหรับวันแห่งความรักคงต้องเลือกสรรให้น่ารัก น่าประทับใจแทนความหมายได้ทุกอารมณ์แล้วแต่คุณจะหยิบแบบไหน

เทียนหอม
มาแรงในหมู่หนุ่มสาวชาวไทย ที่สื่อได้ทั้งความหมายจากรูปทรงหัวใจ และให้กลิ่นหอมชวนหลงใหลตามแต่ใครจะเลือกได้ถูกใจอีกฝ่ายแค่ไหน
มื้อค่ำ ขาดไม่ได้เลยสำหรับมื้อพิเศษในวันแห่งความรัก ไม่ว่าจะเป็นสถานที่แบบไหน ในบ้าน ร้านอาหาร หรือริมทะเล แต่ขอให้มีแต่คุณและคนรักไปกันสองคนก็แล้วกัน


วันพฤหัสบดีที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2551

Art


History


Art predates history; sculptures, cave paintings, rock paintings, and petroglyphs from the Upper Paleolithic starting roughly 40,000 years ago have been found, but the precise meaning of such art is often disputed because so little is known about the cultures that produced them. The oldest art objects in the world: a series of tiny, drilled snail shells about 75,000yrs old, were discovered in a South African cave.[27]
The great traditions in art have a foundation in the art of one of the great ancient civilizations: Ancient Egypt, Mesopotamia, Persia, India, China, Ancient Greece, Rome, or Arabia (ancient Yemen and Oman). Each of these centers of early civilization developed a unique and characteristic style in their art. Because of the size and duration these civilizations, more of their art works have survived and more of their influence has been transmitted to other cultures and later times. They have also provided the first records of how artists worked. For example, this period of Greek art saw a veneration of the human physical form and the development of equivalent skills to show musculature, poise, beauty and anatomically correct proportions

In Byzantine and Gothic art of the Western Middle Ages, art focused on the expression of Biblical and not material truths, and emphasized methods which would show the higher unseen glory of a heavenly world, such as the use of gold in paintings, or glass in mosaics or windows, which also presented figures in idealized, patterned (flat) forms.


The stylized signature of Sultan Mahmud II of the Ottoman Empire was written in Arabic calligraphy. It reads Mahmud Khan son of Abdulhamid is forever victorious.
The western Renaissance saw a return to valuation of the material world, and the place of humans in it, and this paradigm shift is reflected in art forms, which show the corporeality of the human body, and the three dimensional reality of landscape.


Landscape of pine valley, by Ming Dynasty artist Chen Hongshou.
In the east, Islamic art's rejection of iconography led to emphasis on geometric patterns, Islami calligraphy, and architecture. Further east, religion dominated artistic styles and forms too. India and Tibet saw emphasis on painted sculptures and dance with religious painting borrowing many conventions from sculpture and tending to bright contrasting colors with emphasis on outlines. China saw many art forms flourish, jade carving, bronzework, pottery (including the stunning terracotta army of Emperor Qin), poetry, calligraphy, music, painting, drama, fiction, etc. Chinese styles vary greatly from era to era and are traditionally named after the ruling dynasty. So, for example, Tang Dynasty paintings are monochromatic and sparse, emphasizing idealized landscapes, but Ming Dynasty paintings are busy, colorful, and focus on telling stories via setting and composition. Japan names its styles after imperial dynasties too, and also saw much interplay between the styles of calligraphy and painting. Woodblock printing became important in Japan after the 17th century.

The western Age of Enlightenment in the 18th century saw artistic depictions of physical and rational certainties of the clockwork universe, as well as politically revolutionary visions of a post-monarchist world, such as Blake’s portrayal of Newton as a divine geometer, or David’s propagandistic paintings. This led to Romantic rejections of this in favor of pictures of the emotional side and individuality of humans, exemplified in the novels of Goethe. The late 19th century then saw a host of artistic movements, such as academic art, symbolism, impressionismand fauvism among others.
By the 20th century these pictures were falling apart, shattered not only by new discoveries of relativity by Einstein[28] and of unseen psychology by Freud [29] but also by unprecedented technological development accelerated by the implosion of civilisation in two world wars. The history of twentieth century art is a narrative of endless possibilities and the search for new standards, each being torn down in succession by the next. Thus the parameters of Impressionism, Expressionism, Fauvism, Cubism, Dadaism, Surrealism, etc cannot be maintained very much beyond the time of their invention. Increasing global interaction during this time saw an equivalent influence of other cultures into Western art, such as Pablo Picasso being influenced by African sculpture. Japanese woodblock prints (which had themselves been influenced by Western Renaissance draftsmanship) had an immense influence on Impressionism and subsequent development. Later, African sculptures were taken up by Picasso and to some extent by Matisse. Similarly, the west has had huge impacts on Eastern art in 19th and 20th century, with originally western ideas like Communism and Post-Modernism exerting powerful influence on artistic styles.
Modernism, the idealistic search for truth, gave way in the latter half of the 20th century to a realization of its unattainability. Relativity was accepted as an unavoidable truth, which led to the period of contemporary art and postmodern criticism, where cultures of the world and of history are seen as changing forms, which can be appreciated and drawn from only with irony. Furthermore the separation of cultures is increasingly blurred and some argue it is now more appropriate to think in terms of a global culture, rather than regional cultures.

วันศุกร์ที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2551

ตำนานดอกกุหลาบ


ตำนานดอกกุหลาบ


กุหลาบเป็นดอกไม้ที่นิยมปลูกไว้ชื่นชมมาแต่โบราณ ประมาณกันว่ากุหลาบเกิดขึ้นเมื่อกว่า 70 ล้านปีมาแล้ว เคยมีการค้นพบฟอสซิลของกุหลาบใน รัฐโคโลราโด และ รัฐโอเรกอน ประเทศสหรัฐอเมริกา และได้พิสูจน์ว่ากุหลาบป่าเป็นพืชที่มีอายุถึง 40 ล้านปี แต่กุหลาบป่าสมัยโลกล้านปีนี้ มีรูปร่างหน้าตาไม่เหมือนกุหลาบสมัยนี้ เนื่องจากมนุษย์ได้นำเอากุหลาบป่ามาปลูกและผสมพันธุ์ ขยายพันธุ์เป็นพันธุ์ต่างๆ มาก ความจริงแล้วกำเนิดของกุหลาบหรือกุหลาบป่านี้มีเฉพาะในแถบบริเวณเหนือเส้นศูนย์สูตรของโลกเท่านั้น คือกำเนิดในภาคกลางของทวีปเอเชีย แล้วแพร่ขยายพันธุ์ไปตลอดซีกโลกเหนือ ไม่ว่าจะเป็นแถบที่มีอากาศหนาวจัดอย่าง อาร์กติก อลาสก้า ไซบีเรีย หรือแถบอากาศร้อนอย่าง อินเดีย แอฟริกาเหนือ แต่ในบริเวณแถบใต้เส้นศูนย์สูตรอย่างทวีปออสเตรเลีย หรือเกาะต่างๆ ในมหาสมุทรรวมทั้งแอฟริกาใต้ ไม่เคยมีปรากฏว่ามีกุหลาบป่าเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติเลย ตามประวัติศาสตร์เล่าว่า กุหลาบป่าถูกนำมาปลูกไว้ในพระราชวังของจักรพรรด์จีน ในสมัยราชวงศ์ฮั่นราว 5,000 ปีมาแล้ว ขณะที่อียิปต์เองก็ปลูกกุหลาบเป็นไม้ดอก ส่งไปขายให้แก่ชาวโรมัน ชาวโรมันเป็นชาติที่รักดอกกุหลาบมากถึงจะสั่งซื้อจากประเทศอียิปต์แล้ว ยังลงทุนสร้างเนอร์สเซอรี่ขนาดใหญ่สำหรับปลูกดอกกุหลาบอีกด้วย สำหรับชาวโรมันแล้วเรียกได้ว่าดอกกุหลาบมีความสำคัญกับชีวิตประจำวัน เพราะชาวโรมันถือว่าดอกกุหลาบเป็นสัญลักษณ์ของความรัก ซึ่งเป็นทั้งของขวัญ เป็นดอกไม้สำหรับทำเป็นมาลัยต้อนรับแขก เป็นดอกไม้สำหรับงานเฉลิมฉลองต่างๆ ใช้เป็นส่วนประกอบสำหรับทำขนม ทำไวน์ ส่วนน้ำมันกุหลาบยังใช้ทำเป็นยาได้อีก กุหลาบถือเป็นสัญลักษณ์แห่งความรักและความโรแมนติก ซึ่งมีบางตำนานเล่าว่า ดอกกุหลาบเป็นเสมือนเครื่องหมายแทนการกำเนิดของ เทพธิดาวีนัส ซึ่งเป็นเทพแห่งความงาม และความรัก วีนัสเป็นที่รู้จักกันในชื่อ อโฟรไดท์ ในตำนานเทพของกรีกได้กล่าวไว้ว่า น้ำตาของเธอหยดลงปะปนกับเลือดของ อคอนิส คนรักของเธอที่ถูกหมูป่าฆ่า เลือดและน้ำตาหยดลงสู่พื้นแล้วกลายเป็นดอกไม้สีแดงเข้มหรือดอกกุหลาบนั่นเอง แต่บางตำนานก็เล่าว่าดอกกุหลาบเกิดจากเลือดของ อโฟรไดท์ เองที่หยดลงสู่พื้น เมื่อเธอแทงตัวเองด้วยหนามแหลม บางตำนานกล่าวว่ากุหลาบเกิดจากการชุมนุมของบรรดาทวยเทพ เพื่อประทานชีวิตใหม่ให้กับนางกินรีนางหนึ่ง ซึ่งเทพธิดาแห่งบุปผาชาติ หรือ คลอริส บังเอิญไปพบนางนอนสิ้นชีพอยู่ ในตำนานนี้กล่าวว่า อโฟรไดท์ เป็นเทพผู้ประทานความงามให้ มีเทพอีกสามองค์ประทานความสดใส เสน่ห์ และความน่าอภิรมย์ และมี เซไฟรัส ซึ่งเป็นลมตะวันตกได้ช่วยพัดกลุ่มเมฆ เพื่อเปิดฟ้าให้กับแสงของเทพ อพอลโล หรือแสงอาทิตย์ส่องลงมาเพื่อประทานพรอมตะ จากนั้น ไดโอนีเซียส เทพเจ้าแห่งเหล้าองุ่นก็ประทานน้ำอมฤต และกลิ่นหอม เมื่อสร้างบุปผาชาติดอกใหม่นี้ขึ้นมาได้แล้ว เทพทั้งหลายก็เรียกดอกไม้ซึ่งมีกลิ่นหอมและทรงเสน่ห์นี้ว่า Rosa จากนั้น เทพธิดาคลอริส ก็รวบรวมหยดน้ำค้างมาประดับเป็นมงกุฎ เพื่อมอบให้ดอกไม้นี้เป็นราชินีแห่งบุปผาชาติทั้งมวล จากนั้นก็ประทานดอกกุหลาบให้กับเทพ อีโรส ซึ่งเป็นเทพแห่งความรัก กุหลาบจึงกลายเป็นสัญลักษณ์ของความรัก แล้วเทพ อีโรส ก็ประทานกุหลาบนี้ให้แก่ ฮาร์โพเครติส ซึ่งเป็นเทพแห่งความเงียบ เพื่อที่จะเก็บซ่อนความอ่อนแอของทวยเทพทั้งหลาย ดอกกุหลาบจึงกลายเป็นสัญลักษณ์ของความเงียบและความเร้นลับอีกอย่างกุหลาบกลายเป็นของขวัญ ของกำนัลสำหรับการแสดงความรัก และมักจะมีผู้เปรียบเทียบความงามของผู้หญิงเป็นเสมือนดอกกุหลาบ และผู้หญิงคนแรกในประวัติศาสตร์โลกที่ได้รับสมญาว่าเป็นผู้หญิงงามเสมือนดอกกุหลาบคือ พระนางคลีโอพัตรา ซึ่งพระนางยังได้เคยต้อนรับ มาร์ค แอนโทนี คนรักของพระนาง ในห้องซึ่งโรยด้วยดอกกุหลาบหนาถึง 18 นิ้ว หอมฟุ้งไปด้วยกลิ่นกุหลาบ

วันศุกร์ที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2550

สมบัติเพื่อนแท้

ก - เ ก็ บ เ ร า ไ ว้ ใ น ใ จ
ข - เ ข้ า ใ จ เ ร า
ค - ค อ ย เ ป็ น กำ ลั ง ใ จ ใ ห้ เ ร า
ง - ง้ อ เ ร า เ มื่ อ รู้ ตั ว ว่ า เ ข า ผิ ด
จ - จั บ มื อ เ ร า เ มื่ อ ต้ อ ง ก า ร กำ ลั ง ใ จ
ฉ - เ ฉ ย กั บ ค ว า ม ใ จ ร้ อ น ข อ ง เ ร า
ช - ช่ ว ย เ ห ลื อ เ ร า
ซ - ซื่ อ สั ต ย์ กั บ เ ร า ญ า ติ ดี กั บ เ ร า เ ส ม อ
ด - เ ดิ น เ คี ย ง ข้ า ง เ ร า
ต - ติ ด ต า ม ข่ า ว ค ร า ว ค ว า ม เ ป็ น ไ ป ข อ ง เ ร า
ถ - ไ ถ่ ถ า ม ทุ ก ข์ สุ ข
ท - ทำ ใ ห้ ชี วิ ต ข อ ง เ ร า เ ป ลี่ ย น ไ ป
ธ - ธั ม ม ะ ธั ม โ ม กั บ เ ร า
น - นั บ ถื อ เ ร า แ ล ะ น่ า รั ก ใ น ส า ย ต า ข อ ง เ ร า
บ - บ อ ก ค ว า ม จ ริ ง แ ก่ เ ร า
ป - ป ล อ บ ใ จ เ มื่ อ เ ร า ท้ อ
ผ - ผ า ย มื อ ต้ อ น รั บ เ ร า เ ส ม อ
ฝ - ฝ า ก ค ว า ม จ ริ ง ใ จ ไ ว้ กั บ เ ร า
พ - เ พิ่ ม พ ลั ง ใ ห้ แ ก่ เ ร า
ฟ - ฟั ง เ ร า เ ส ม อ
ภ - ภู มิ ใ จ ใ น ตั ว เ ร า
ม - ม อ บ สิ่ ง ดี ดี แ ก่ เ ร า
ย - ย ก โ ท ษ ใ ห้ กั บ ข้ อ ผิ ด พ ล า ด ข อ ง เ ร า
ร - รั ก ที่ เ ร า เ ป็ น เ ร า
ล - ล ะ เ อี ย ด อ่ อ น กั บ ค ว า ม รู้ สึ ก ข อ ง เ ร า
ว - ไ ว้ ใ จ เ ร า
ศ - ศึ ก ษ า นิ สั ย ที่ แ ท้ จ ริ ง ข อ ง เ ร า
ส - สั ง เ ก ต ค ว า ม เ ป ลี่ ย น แ ป ล ง ใ น ตั ว เ ร า
ห - เ ห็ น คุ ณ ค่ า ข อ ง เ ร า
อ - อ ธิ บ า ย ใ น สิ่ ง ที่ เ ร า ไ ม่ เ ข้ า ใ จ
ฮ - เ ฮ ฮ า กั บ เ ร า ไ ด้ ทุ ก เ ว ล า

วันจันทร์ที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2550

Don Hoi Lot

Don Hoi Lot It is a bar at the mouth of the Mae Klong River, created by sedimentation of sandy soil or Khee Ped Sand as called by the locals. It occupies a vast area 3 Kilometres wide and 5 Kilometres long. There are two places: Don Nok, located at the mouth of Mae Klong Gulf which can be accessed by boat. The second is Don Nai, located at Chu Chi villages beach, Tambon Bang Cha Kreng and at Bang Bo Villages' Beach, Tambon Bang Kaeo; which can be reached by car. This bar contains various species of mollusc such as Hoi Lai, Hoi Puk (Ridged Venus clam), Hoi Pak Ped, Hoi Khraeng (scallop), and most abundant is the of Hoi Lot (worm shells).
Worm Shells have 2 shells which resemble a straw and a muddy white meat. It lives in the muddy sand. Catching the worm shell is best done at low tide. The way to catch a worm shell is by using a little wooden stick dipped in lime and plaster mixture and sticking it into the worm shells hole. The worm shell will be agitated by the mixture and will come to the surface and caught. It is not advisable to dump the lime and plaster mixture onto the ground as will likely kill all kinds of molluscs living there. The best time of the year to catch the worm shells are during the months of March to May, when they are in season.
A very important site within the Chu Chi Village area at Don Hoi Lot is the Shrine of Prince Chumphon Khet-udomsak which is highly revered by all Thais. There are also restaurants and stalls selling a vast variety of local products such as fresh-dried worm shell, fresh-dried seafood, fish sauce, Khlong Khon shrimp paste, palm sugar, and palm juice, and many others.

HOW TO GET THERE
1. Travelling to Chu Chi Villages Beach at Tambon Bang Chakreng by-passing the access road to Samut Songkhram and going on for another 3 kilometres. Before you reach the Phutthaloetlanaphalai bridge, at the foot of the bridge, there is a 5 Kilometres access road to Don Hoi Lot.;
2. Travelling to Bang Bo Villages Beach at Tambon Bang Kaew. Starting from the opposite side of the road from the Highway Weighing Station on Thonburi-Paktho Roadside. Just one Kilometre before you reach the access road to Samut Songkhram, on your left, there will be a sign pointing to Don Hoi Lot. Take this road - a laterite road 4 Kilometres long to Don Hoi Lot. The road is not convenient for large vehicles;
3. By boat to Don Nok. There are many kinds of boat that will take you there, they are available at the Mae Klong river pier. For groups, please contact (Sun Huad Heng Wood Mill) at 711-466 or call the Boat Ticket Counter at Mae Klong River, Samut Songkhram in advance;
4. Taking a Song-Thaeo (local truck) from the market in Mueang Samut Songkram to Ban Chu Chi. The Song-Thaeo runs all day.